[x] ปิดหน้าต่างนี้
 
 

งานการศึกษาขั้นพื้นฐาน
          มุ่งจัดการศึกษาให้กับประชาชนและผู้ด้อยโอกาสที่อยู่นอกระบบโรงเรียนให้ได้รับการศึกษา ขั้นพื้นฐาน รวมทั้งการจัดการศึกษาสายสามัญในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อยกระดับการศึกษาและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับกลุ่มเป้าหมาย
ลักษณะกิจกรรม
         จัด ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับกลุ่มเป้าหมายนอกระบบโรงเรียนโดยปรับปรุงวิธีการเรียนการสอนและการเรียนรู้ การทำงานของครูผู้สอนและผู้จัดการศึกษา พัฒนาหลักสูตร สื่อการศึกษาและสถานศึกษา ตลอดจนเร่งพัฒนาการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพ และประสิทธิภาพ เพื่อกลุ่มเป้าหมายได้รับการศึกษาที่เป็นพื้นฐานเพียงพอที่จะดำเนินชีวิตตามหลักสูตรกำหนดไม่น้อยกว่า 12 ปี ซึ่งแบ่งตามโครงสร้างหลักสูตร

การศึกษาขึ้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

โครงสร้างหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

     โครงสร้างหลักสูตร ประกอบด้วย 5 สาระการเรียนรู้ ได้แก่

1.ทักษะการเรียนรู้
2.ความรู้พื้นฐาน
3.การประกอบอาชีพ
4.ทักษะการดำเนินชีวิต
5.การพัฒนาสังคม


     แต่ละสาระประกอบด้วยรายวิชาบังคับและรายวิชาเลือก ตามจำนวนหน่วยกิตที่กำหนดไว้ในโครงสร้างรายวิชาที่เลือกนั้นผู้เรียนสามารถเลือกได้ตามความต้องการของตนเองและในการเรียนแต่ละระดับผู้เรียนต้องทำ กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต(กพช.) ไม่น้อยกว่า 100 ชั่วโมง




จำนวนหน่วยกิตในแต่ละระดับ มีดังนี้

ระดับประถมศึกษา ไม่น้อยกว่า  48  หน่วยกิต
     แบ่งเป็นวิชาบังคับ  36  หน่วยกิต  และวิชาเลือกไม่น้อยกว่า  12  หน่วยกิตให้ลงทะเยนเรียนได้ภาคละไม่เกิน  14  หน่วยกิต 
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นไม่น้อยกว่า 56  หน่วยกิต
    แบ่งเป็นวิชาบังครับ  40 หน่วยกิต  และวิชาเลือกไม่น้อยกว่า  16  หน่วยกิตให้ลงทะเยนเรียนได้ภาคละไม่เกิน 16 หน่วยกิต
ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายไม่น้อยกว่า  76  หน่วยกิต
     แบ่งเป็นวิชาบังคับ  44 หน่วยกิต และวิชาเลือกไม่น้อยกว่า  32 หน่วยกิตให้ลงทะเบียนเรียนได้ภาคเรียนละไม่เกิน 20  หน่วยกิต
วิธีการจัดการเรียนรู้
     วิธีการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 จะมีวิธีเดียว คือ วิธีเรียน กศน. ที่สามารถจัดการเรียนรู้ได้หลายรูปแบบ เช่น การเรียนรู้แบบพบกลุ่ม การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้แบบทางไกล การเรียนรู้แบบชั้นเรียน และการเรียนรู้แบบอื่นๆซึ่งในแต่ละรายวิชา ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง หรือหลายรูปแบบก็ได้ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความพร้อมของสถานศึกษาด้วย  

วิธีการจัดการเรียนรู้
         วิธีการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 จะมีวิธีเดียว คือ “วิธีเรียน กศน.” ที่สามารถจัดการเรียนรู้ได้หลายรูปแบบ เช่น
         -   การเรียนรู้แบบพบกลุ่ม
         -   การเรียนรู้ด้วยตนเอง
         -   การเรียนรู้แบบทางไกล
         -   การเรียนรู้แบบชั้นเรียน
         -   การเรียนรู้แบบอื่นๆ
         ซึ่งในแต่ละรายวิชา ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง หรือหลายรูปแบบก็ได้ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความพร้อมของสถานศึกษาด้วย

    1. การเรียนรู้แบบพบกลุ่ม
         เป็นการจัดการเรียนรู้ที่กำหนดให้ผู้เรียนมาพบกันโดยมีครูเป็นผู้ดำเนินการให้เกิดกระบวนการกลุ่ม เพื่อให้มีการอภิปราย แลกเปลี่ยนเรียนรู้และหาข้อสรุปร่วมกันทุกสัปดาห์ ครูจะต้องจัดให้มีการพบกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้เรียนด้วยกัน ครูมีบทบาทเป็นผู้อำนวยความสะดวก ใช้เวลาในการพบกลุ่มอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ชั่วโมง
ข้อควรคำนึงในการเรียนรู้แบบพบกลุ่ม
           จัดพบกลุ่มในรายวิชาที่ยากปานกลาง
           น้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียนและผู้เรียนกับครู
           ผู้เรียนมีการศึกษาค้นคว้างานเดี่ยว งานกลุ่ม ทำโครงงาน
           ครูจัดกระบวนการกลุ่มที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และสอดแทรกกระบวนการคิดเป็นให้ผู้เรียนได้ฝึกคิดวิเคราะห์ ในแต่ละรายวิชาที่เชื่อมโยงสู่การประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงและอาจสอนเพิ่มเติมในบางเนื้อหาที่ผู้เรียนต้องการ
           มีการสอบย่อย (QUIZ)
           พบกลุ่มสัปดาห์ละ 3 ชม. เป็นอย่างน้อย แต่ถ้าสามารถจัดเวลาพบกลุ่มได้มากขึ้นจะมีประโยชน์ต่อผู้เรียนเป็นอย่างยิ่ง

         การเรียนรู้แบบพบกลุ่ม ควรดำเนินการ ดังนี้
         1). การนำเสนอผลจากการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองหรืองานกลุ่มโดยผู้เรียน ซึ่งเป็นการทำกิจกรรมตามที่ได้รับมอบหมายจากการพบกลุ่มสัปดาห์ที่แล้ว ครูทำหน้าที่กระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน และสรุปองค์ความรู้ร่วมกันระหว่างผู้เรียนและครู
         2
). การจัดการเรียนการสอนตามสาระการเรียนรู้ที่ได้วางแผนร่วมกันไว้แล้วระหว่างครูและผู้เรียน โดยครูเป็นผู้จัดกระบวนเรียนรู้ เพิ่มเติมความรู้หรือเนื้อหาสาระที่จำเป็น ที่ผู้เรียนยังไม่เข้าใจและต้องการจะเรียนรู้ โดยอาจสอนเพิ่มเติมในบางเนื้อหาที่ผู้เรียนต้องการ หรือจัดสอนเสริมนอกเหนือจากเวลาพบกลุ่ม (โดยเฉพาะในเนื้อหายากที่ผู้เรียนไม่สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้ เช่น คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์)
        
3). การนำเสนอโครงงาน โดยผู้เรียนนำเสนอความคิด และความก้าวหน้าในการทำโครงงานต่อกลุ่มใหญ่ เพื่อให้ผู้เรียนคนอื่นและครูช่วยกันวิเคราะห์ ซักถามให้ข้อเสนอแนะ คำแนะนำทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เป็นการต่อยอดทางความคิดและนำไปสู่การพัฒนาโครงงานในสัปดาห์ต่อไป การนำเสนอโครงงานเช่นนี้จะเป็นไปอย่างต่อเนื่องทุกครั้งที่พบกลุ่มจนสิ้นสุดภาคเรียน
        
4). การสอบย่อย (QUIZ) เป็นการทดสอบความรู้ความเข้าใจสาระเนื้อหา โดยครูและสถานศึกษาเป็นผู้จัดทำข้อทดสอบย่อย ในลักษณะ ถาม-ตอบ (QUIZ) ให้ผู้เรียนตอบคำถามแบบเขียนสั้น ๆ ในลักษณะการสรุปความคิดรวบยอด ที่เป็นความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาในรายวิชานั้น ของตัวผู้เรียนเอง
        
5). การฝึกกระบวนการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการ “คิดเป็น” ให้ผู้เรียนฝึกคิดวิเคราะห์สังเคราะห์ และแสวงหาความรู้ด้วยตนเองจากสื่อ เช่น สถานการณ์จริง ข่าว นสพ.บทความ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหารายวิชาที่กำลังเรียนรู้ ครูทำหน้าที่เป็นผู้กระตุ้น เสริมแรง ใช้กระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมให้ผู้เรียนทุกคนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันตลอดช่วงเวลาการพบกลุ่ม โดยครูควรตั้งคำถามปลายเปิดให้ผู้เรียนได้คิด ร่วมอภิปรายเพื่อหาคำตอบจากประเด็นปัญหา และพยายามเชื่อมโยงเรื่องที่เรียนรู้จากรายวิชานั้นเข้าสู่วิถีชีวิตของผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนได้มองเห็นประโยชน์จากการมาพบกลุ่ม
        
6). การฝึกให้ผู้เรียนได้แสดงออกเพื่อให้สามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้ เช่น การนำเสนองานประกอบการใช้สื่อ การฝึกพูดในโอกาสต่าง ๆ การใช้ภาษาไทยที่ถูกต้อง การฟังและการจับประเด็นสำคัญ การพูด/การเขียนเพื่อสรุปใจความสำคัญ ฯลฯ
        
7). การวางแผนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต่อเนื่อง เป็นการกำหนดข้อตกลงร่วมกันในกลุ่มการนัดหมายกิจกรรมต่างๆ ที่ผู้เรียนต้องทำระหว่างสัปดาห์ รวมทั้งการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ครูจะต้องเน้นย้ำให้ผู้เรียนไปศึกษาค้นคว้าตามแผนการเรียนรู้ที่ได้ร่วมกันกำหนดไว้ โดยเน้นเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่จะมานำเสนอสัปดาห์ต่อไป และกำหนดภารกิจสำหรับผู้เรียนคนอื่น ๆ ด้วย
         8). การติดตามและช่วยเหลือ อาจใช้กระบวนการติดตามช่วยเหลือโดยเพื่อน กลุ่มเพื่อนจัดให้มีการปรึกษาหารือกันระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน หรือใช้ระบบหัวหน้ากลุ่มผู้เรียน

     2. การเรียนรู้ด้วยตนเอง
         ป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนกำหนดแผนการเรียนรู้ของตนเองให้สอดคล้องกับรายวิชาที่ลงทะเบียนเรียน โดยระบุว่ากระบวนการเรียนรู้แต่ละครั้งเกิดขึ้นได้อย่างไร เรียนรู้ด้วยวิธีการใด มีขั้นตอนตั้งแต่เริ่มต้นจนจบอย่างไร และมีครูเป็นที่ปรึกษาให้คำแนะนำในการศึกษาหาความรู้จากสื่อต่าง ๆ

        ลักษณะของผู้ที่สามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง
         1. มีความสมัครใจที่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่ได้เกิดจากการบังคับ
        
2. ใช้ตนเองเป็นแหล่งข้อมูล นั่นคือผู้เรียนสามารถบอกได้ว่าสิ่งที่ตนจะเรียนคืออะไร รู้ว่าทักษะและข้อมูลที่ต้องการหรือจำเป็นต้องใช้มีอะไรบ้าง สามารถกำหนดเป้าหมาย วิธีการรวบรวมข้อมูลที่ต้องการ และวิธีการประเมินผลการเรียนรู้ ผู้เรียนรู้ถึงความสามารถของตนเอง ตัดสินใจได้ มีการรับผิดชอบต่อหน้าที่และบทบาทในการเป็นผู้เรียนที่ดี
        
3. รู้ “วิธีการที่จะเรียน” นั่นคือ ผู้เรียนควรทราบขั้นตอนในการเรียนรู้ด้วยตนเอง ว่าจะไปสู่จุดที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้อย่างไร
        
4. มีบุคลิกภาพเชิงบวก มีแรงจูงใจ และการเรียนแบบร่วมมือกับเพื่อนหรือบุคคลอื่น
        
5. มีระบบการเรียน รู้จักประยุกต์การเรียนและสนุกสนานกับกระบวนการเรียน
        
6. มีการเรียนจากข้อผิดพลาดและความสำเร็จ มีการประเมินตนเองและเข้าใจถึงศักยภาพของตนเอง
        
7. มีความพยายามในการหาวิธีการใหม่ ๆ เพื่อหาคำตอบ รู้จักประยุกต์ความรู้ที่ได้จากการเรียนไปใช้กับสถานการณ์ของแต่ละบุคคล และหาโอกาสในการพัฒนา ค้นหาข้อมูลเพื่อแก้ปัญหา
        
8. มีการชี้แนะ การอภิปรายในห้องเรียน การแสดงความคิดเห็นส่วนตัวและการแสดงความเห็นที่แตกต่างไปจากผู้สอน
        
9. มีการรวบรวมข้อมูลจากการได้ปฏิสัมพันธ์กับบุคลและมีวิธีการนำข้อมูลที่ได้
ไปใช้

         ข้อควรคำนึงในการเรียนรู้ด้วยตนเอง
           ผู้เรียนมีความสมัครใจ มีความพร้อม ศึกษาวิธีการเรียนให้เข้าใจขั้นตอนการเรียนรู้ด้วยตนเอง มีทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเองและมีความรับผิดชอบ
        
  ผู้เรียนกำหนดแผนการเรียนรู้รายบุคคลให้สอดคล้องกับรายวิชาที่ลงทะเบียนเรียน
        
  ผู้เรียนกำหนดสื่อที่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง เช่น เอกสารแบบเรียน ชุดการสอน ผู้รู้ โทรทัศน์ วิทยุ อินเทอร์เน็ต ซีดี แหล่งเรียนรู้ เพื่อนเรียนรู้ ฯลฯ
        
  จัดทำสัญญาการเรียนรู้ ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างครูกับผู้เรียน
        
  พบครู ให้คำปรึกษา แนะนำในการเรียน ประมาณ 2-4 ครั้ง/ภาคเรียน
           สถานศึกษาและครูมีบทบาทในการจัดเตรียม อำนวยความสะดวก ให้ความช่วยเหลือแนะนำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้สำเร็จตามจุดมุ่งหมาย

         การเรียนรู้ด้วยตนเอง ควรดำเนินการ ดังนี้
         1). การวิเคราะห์และการกำหนดความต้องการในการเรียนรู้ โดยผู้เรียนควรคำนึงถึงความต้องการและความสนใจของตนเองเกี่ยวกับเนื้อหาที่จะเรียน
        
2). การกำหนดจุดมุ่งหมายในการเรียนรู้ที่สามารถปฏิบัติได้จริง โดยผู้เรียนศึกษาจุดมุ่งหมายของรายวิชาแล้วเขียนจุดมุ่งหมายในการเรียน จุดมุ่งหมายควรเน้นถึงพฤติกรรมที่ผู้เรียนคาดหวังว่าจะเกิดขึ้น เป็นจุดมุ่งหมายที่สามารถวัดได้ และจุดมุ่งหมายของผู้เรียนในแต่ละระดับควรมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
        
3). การวางแผนการเรียน โดยให้ผู้เรียนกำหนดแนวทางการเรียนของตนเองขึ้นมาเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของรายวิชา กำหนดเวลาการเรียน โดยกำหนดปริมาณเวลา(จำนวนชั่วโมง/จำนวนครั้ง) ที่ต้องการพบครูเพื่อขอคำปรึกษาแนะนำหรือให้ครูสอน กำหนดเวลาในการทำกิจกรรมกลุ่มร่วมกับผู้เรียนคนอื่น กำหนดเวลาที่ต้องการเรียนด้วยตนเอง พร้อมทั้งกำหนดว่ากิจกรรมการเรียนจะสิ้นสุดเมื่อใด
        
4). การเลือกรูปแบบการเรียน/กิจกรรมการเรียนด้วยตนเอง/แหล่งวิทยากร/สื่อที่จะใช้ในการเรียนด้วยตนเอง เช่น อ่านหนังสือประกอบ ดูวีซีดี ศึกษาจากสื่อคอมพิวเตอร์ ศึกษาจากผู้รู้ แหล่งเรียนรู้ต่างๆ เช่น ห้องสมุด วัด สถานีอนามัย
        
5). การกำหนดบทบาทของผู้ช่วยเหลือในการเรียน เนื่องจากบางครั้งผู้เรียนไม่สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้ทั้งหมด จึงจำเป็นต้องอาศัยความช่วยเหลือจากผู้อื่น เช่น เพื่อนร่วมเรียนเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
         6). การกำหนดวิธีการประเมินผลการเรียน ควรเป็นการประเมินผลร่วมกันระหว่างครูกับผู้เรียน โดยครูและผู้เรียนร่วมกันตั้งเกณฑ์การประเมินผลร่วมกัน เลือกประเภทของการทดสอบ ลักษณะของการ Feedback ที่จะใช้

        การจัดทำสัญญาการเรียนรู้
         ในการเรียนรู้ด้วยตนเองนั้น สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การเรียนรู้เป็นไปตามเป้าหมาย คือ ผู้เรียนต้องมีการจัดทำข้อตกลงการเรียน หรือ สัญญาการเรียน ของตนเองให้ไว้กับครู เพื่อที่ครูจะได้ทราบความก้าวหน้าในการเรียนรู้ด้วยตนเองของผู้เรียนแต่ละคน
สัญญาการเรียน (Learning Contact) คือ ข้อตกลงที่ผู้เรียนได้ทำไว้กับครู ว่าเขาต้องปฏิบัติอย่างไรบ้างในการเรียนการสอน เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายของหลักสูตร
ในสัญญาการเรียน ผู้เรียนจะเป็นผู้เขียนเองโดยระบุว่า ต้องการเรียนเรื่องอะไร จะวัดว่าได้บรรลุตามความมุ่งหมายแล้วหรือไม่ อย่างไร มีหลักฐานการเรียนรู้อะไรบ้างที่บ่งบอกถึงผลการเรียนของผู้เรียนว่าผลการเรียนเป็นอย่างไร เมื่อเขียนเสร็จแล้วสำเนาส่งให้ครูเก็บไว้ 1 ชุด เพื่อติดตาม ตรวจสอบความก้าวหน้าในการเรียนของผู้เรียนแต่ละคน
แบบฟอร์มหรือตารางของการเขียนสัญญาการเรียน อาจประกอบด้วยหัวข้อต่อไปนี้
        
1). จุดมุ่งหมาย เป็นส่วนที่ระบุว่า ผู้เรียนต้องการบรรลุผลสำเร็จในเรื่องอะไร อย่างไร
        
2). แหล่งวิทยาการ/วิธีการเป็นส่วนที่ระบุว่า ผู้เรียนจะเรียนรู้ได้อย่างไรจากแหล่งความรู้ใด
        
3). หลักฐาน เป็นส่วนที่มีสิ่งอ้างอิงหรือยืนยันเป็นรูปธรรม ที่แสดงให้เห็นว่า ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้แล้ว โดยเก็บรวบรวมเป็นแฟ้มสะสมงาน
         4). การประเมินผล เป็นส่วนที่ระบุว่า ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ในระดับใด

     3. การเรียนรู้แบบทางไกล
         เป็นการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนจะเรียนรู้จากสื่อต่าง ๆ โดยผู้เรียนและครูจะสื่อสารกันทางสื่ออิเล็คทรอนิคส์เป็นส่วนใหญ่ มุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้แบบ e-learning

       ข้อควรคำนึงในการเรียนรู้แบบทางไกล
         1. ผู้เรียนต้องมีเครื่องมือที่สามารถสื่อสาร และใช้อุปกรณ์ทางอิเล็คทรอนิกส์ได้ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ ฯลฯ
         2. มีเวลาสื่อสารทางสื่ออิเลคทรอนิกส์ กับครูตามเวลาที่ได้ตกลงร่วมกันระหว่างครูกับผู้เรียน เช่น Chat room, E-mail, Web board, Blog, facebook ฯลฯ
         3. สถานศึกษาและครูมีบทบาทในการจัดเตรียมสื่อทางไกล หรือ อำนวยความสะดวกให้ความช่วยเหลือ แนะนำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้แบบทางไกลได้สำเร็จตามจุดมุ่งหมาย

         การเรียนรู้แบบทางไกล ควรดำเนินการ ดังนี้
           การศึกษาแนวทางการเรียนรู้แบบทางไกลจากสื่อต่าง ๆ
        
  การเรียนรู้จากสื่อทางไกลตามที่สถานศึกษากำหนด
        
  การประเมินความรู้ก่อนเรียนของตนเอง
        
  การศึกษาเนื้อหาสาระจากสื่อต่าง ๆ และส่งงานตามที่กำหนด
        
  การสื่อสารกับครูตามเวลาที่กำหนด เพื่อซักถาม นัดหมาย ขอคำปรึกษา ฯลฯ
           การประเมินความรู้หลังเรียนของตนเอง

     4. การเรียนรู้แบบชั้นเรียน
          เป็นการเรียนรู้ในลักษณะแบบห้องเรียน ที่สถานศึกษากำหนดรายวิชา เวลาเรียน และสถานที่ที่ชัดเจน ซึ่งการจัดการเรียนรู้นี้เหมาะสำหรับผู้เรียนที่มีเวลาเข้าชั้นเรียนสม่ำเสมอ

       
ข้อควรคำนึงในการเรียนรู้แบบชั้นเรียน
        
1. สถานศึกษากำหนดสถานที่เรียน ตารางเรียนที่เหมาะสม
        
2. มีการประชาสัมพันธ์สถานที่ วัน เวลา ครูผู้สอน ให้ผู้เรียนทราบทั่วกัน
        
3. สถานศึกษาจัดหาสื่อ อุปกรณ์การเรียนการสอนเช่น เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เครื่องมืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และ โสตทัศนูปกรณ์ ที่มีคุณภาพเหมาะสมกับการเรียนรู้แบบชั้นเรียน
        
4. ผู้เรียนต้องมีเวลาเข้าชั้นเรียนตามที่กำหนดในตารางเรียน


        การจัดกระบวนการเรียนรู้
         1. การจัดกระบวนการเรียนรู้ โดยมีครู/ผู้รู้/ ผู้เชี่ยวชาญในเนื้อหานั้น ๆ เป็นผู้ถ่ายทอดเนื้อหา ในการถ่ายทอดเนื้อหาของครูต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนซักถาม แสดงความคิดเห็นได้ โดยเพิ่มการเขียนถาม/ตอบ หลังการบรรยาย รวมทั้งมีการจัดโอกาสให้ฝึกในห้องปฏิบัติการ และจัดเวลาการให้คำปรึกษา
         2. การจัดกระบวนการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับครู และผู้เรียนกับผู้เรียน โดยกระตุ้นให้ผู้เรียนตอบพร้อมกับใช้กิจกรรมลักษณะที่เน้นการสื่อสาร เช่น กิจกรรมคู่ กิจกรรมกลุ่ม และการจัดที่นั่งในชั้นเรียนต้องเหมาะสม เอื้อต่อการดำเนินกิจกรรม
         3. การจัดให้มีการปรับบทบาทผู้เรียน ใช้การแบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่มเล็ก ๆ โดยที่แต่ละกลุ่มจะได้รับมอบหมายงานให้ปฏิบัติ ในการจัดการเรียนการสอนครูจะสอดแทรกกิจกรรม 3 ลักษณะ คือ กิจกรรมที่เน้นการให้ผู้เรียนได้รับข้อมูล/ข้อเท็จจริง กิจกรรมที่ให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยการได้ลงมือปฏิบัติ/สังเกต และกิจกรรมการสะท้อนการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างผู้เรียนและครู
         4. การติดตามและช่วยเหลือผู้เรียน โดยอาจใช้กระบวนการติดตามช่วยเหลือโดยเพื่อน/กลุ่มเพื่อน จัดให้มีการปรึกษาหารือกันระหว่างครูกับผู้เรียน ใช้ผู้ช่วยสอน ใช้ระบบหัวหน้ากลุ่มผู้เรียน ใช้แฟ้มสะสมผลงาน ใช้การเรียนแบบทีม ใช้ e-mail, discussion boards และ internet เป็นต้น
         การเรียนรู้แบบต่าง ๆ  ดังกล่าวข้างต้น สถานศึกษาและผู้เรียนจะร่วมกันกำหนด โดยในแต่ละรายวิชาจะเลือกการเรียนรู้แบบใดแบบหนึ่งหรือหลายแบบก็ได้ ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของเนื้อหาในรายวิชานั้น ๆ โดยให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตและการทำงานของผู้เรียน รวมทั้งขึ้นอยู่กับความพร้อมของสถานศึกษาด้วย และสถานศึกษาสามารถจัดให้มีการสอนเสริมได้ในทุกรูปแบบการเรียนรู้ เพิ่มเติมเต็มความรู้ให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้

หลักฐานการเรียนรู้
        หมายถึง การกำหนดชิ้นงาน ภาระงาน หรือลักษณะของชิ้นงาน ที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของผู้เรียนที่ได้รับการพัฒนาการเรียนรู้ของแต่ละเรื่อง หรือแต่ละขั้นตอนของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่สามารถนำไปสู่การประเมินเพื่อปรับปรุงคุณภาพผู้เรียนให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยแสดงให้เห็นว่าผู้เรียนได้เรียนรู้ และสามารถทำได้ตามที่มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ที่ครอบคลุมทั้งด้านความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ เพื่อเป็นการยืนยัน สร้างความมั่นใจให้กับครูว่า ผู้เรียนมีความเข้าใจในเรื่องนั้น ๆ จริง หลักฐานการเรียนรู้ที่เป็นการแสดงผลการเรียนรู้ 1 อย่าง อาจจะตอบได้หลายเป้าหมายของการเรียนรู้ก็ได้ เนื่องจากเป็นหลักฐานที่เป็นผลการเรียนรู้ของผู้เรียนที่ชัดเจนการกำหนดหลักฐานการเรียนรู้ที่เกิดกับผู้เรียนนั้น ต้องเป็นหลักฐานที่สามารถบ่งชี้ได้ว่า ผู้เรียนบรรลุเป้าหมายตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ด้วยวิธีการประเมินอย่างหลากหลาย และมีความต่อเนื่องจนจบสิ้นกระบวนการเรียนรู้ที่จัดขึ้น ซึ่งอาจเกิดจากครูกำหนดให้ หรืออาจให้ผู้เรียนร่วมกันกำหนดขึ้นจากการวิเคราะห์ตัวชี้วัดในหน่วยการเรียนรู้นั้น เช่น บันทึกการฝึกทักษะ บันทึกการเรียนรู้ รายงาน แบบฝึกหัด โครงงาน แฟ้มสะสมงาน ซึ่งมีตัวอย่างดังนี้

       1. บันทึกการฝึกทักษะ

         หมายถึง ข้อความที่ผู้เรียนจดหรือบันทึกเกี่ยวกับทักษะ ภาระงานที่ได้รับการฝึกปฏิบัติในการเรียนรู้รายวิชาต่าง ๆ เพื่อแสดงให้เห็นความก้าวหน้าของผู้เรียนที่เกี่ยวกับการฝึกทักษะในเรื่องดังกล่าว

       2. บันทึกการเรียนรู้

หมายถึง บันทึกที่ผู้เรียนจัดทำขึ้น เพื่อแสดงให้เห็นกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน และประโยชน์ที่ผู้เรียนได้รับจากการเรียนรู้ทั้งในส่วนขององค์ความรู้และการนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

        บันทึกการเรียนรู้ อาจมีองค์ประกอบ ดังต่อไปนี้
          1. ปกหน้า
          2. ปกใน
          3. รายละเอียดเกี่ยวกับตัวผู้เรียน
              ประกอบด้วย
                3.1  ชื่อ-นามสกุล
                3.2  รหัสประจำตัวนักศึกษา
                3.3  ระดับชั้นที่กำลังศึกษา
                3.4  ศรช.ที่นักศึกษาสังกัด
                3.5  สถานศึกษาที่นักศึกษาสังกัด
          4. ส่วนบันทึกการเรียนรู้ ประกอบด้วยหัวข้อดังต่อไปนี้
                4.1  สาระการเรียนรู้ และรายวิชาที่ศึกษา
                4.2  หัวข้อที่ศึกษา หรือที่ครูมอบหมายให้ศึกษา
                4.3  จุดประสงค์ที่ศึกษาในหัวข้อนั้น เพื่อให้ผู้เรียนรู้จักการตั้งจุดมุ่งหมายใน
การเรียนรู้ อันจะเป็นกรอบ หรือแนวทางการศึกษาในหัวข้อที่สนใจ และสามารถประเมินผลการเรียนรู้ ด้วยตนเอง โดยเทียบกับจุดประสงค์ในการเรียนรู้ที่ผู้เรียนตั้งไว้
                4.4  ขั้นตอนการศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้การทำงานอย่างมีระบบ และเพื่อฝึกการวางแผนการทำงาน การกำกับควบคุมตนเองและเวลาการทำงานให้สัมพันธ์กัน เพื่อให้งานสำเร็จตามจุดประสงค์ และระยะเวลาที่วางไว้ ซึ่งในขั้นตอนการศึกษา ผู้เรียนจะต้องระบุรายละเอียดดังนี้
                     4.4.1  ขั้นตอนการรวบรวมข้อมูล ระบุว่ามีวิธีรวบรวม ข้อมูลอย่างไร เช่น ค้นหาเอกสารจากที่ใด หรือสอบถามผู้ใด จดบันทึกข้อมูลที่หาอย่างไร
                     4.4.2  ขั้นจัดการข้อมูล ระบุว่าข้อมูลที่ได้ ผู้เรียนมีการจัดแบ่งเนื้อหาเป็น หัวข้ออย่างไร นำข้อมูลมาใช้อย่างไร
                4.5  สรุปเนื้อหาที่เรียนรู้แบบย่อ โดยสรุปเนื้อหาสาระความรู้ที่สำคัญ ทั้งนี้ตามหัวข้อที่ผู้เรียนจัดทำไว้
                4.6  ผลการเรียนรู้ ให้บอกถึงผลของการศึกษาค้นคว้าที่เกิดกับตัวผู้เรียน ในส่วนของความรู้และการพัฒนาตนเอง
                4.7  การนำไปประยุกต์ใช้ในรายวิชาอื่น ๆ หรือในชีวิตประจำวัน ซึ่งผู้เรียนจะต้องระบุให้ชัดเจน หากเนื้อหาในเรื่องที่ศึกษาไม่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในรายวิชาอื่น ๆ หรือในชีวิตประจำวันได้ ก็ให้ระบุเหตุผลให้ชัดเจน
                4.8  ความคิดเห็นของครูประจำวิชา เป็นความคิดเห็นของครูต่องานที่ผู้เรียนจัดทำ ครูต้องแสดงความคิดเห็นและให้ข้อเสนอแนะในเชิงสร้างสรรค์ต่องานของผู้เรียน ครูต้องมีเหตุผลประกอบเพื่อให้ผู้เรียนได้ประโยชน์จากข้อคิดเห็นของครู ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้เรียนรู้ถึงคุณค่าของการศึกษาค้นคว้า ครูจึงไม่ควรละเลยส่วนนี้ไป เพราะส่งผลต่อกำลังใจในการศึกษาเรียนรู้ของผู้เรียน

       3. การรายงาน  

               หมายถึง  การศึกษาค้นคว้า หาความรู้จากแหล่งความรู้ต่าง ๆ หรือจากการทดลองการสังเกตการณ์ การสัมภาษณ์ ของผู้เรียน ที่นำสารสนเทศดังกล่าวมาประเมิน วิเคราะห์ สังเคราะห์ ให้ถูกต้องและเรียบเรียงอย่างมีแบบแผนที่กำหนด อาจศึกษาค้นคว้าในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยวิธีใดวิธีหนึ่งที่ผู้เรียนสนใจ หรือเป็นเรื่องที่ครูกำหนดให้ศึกษาค้นคว้า รายงานเป็นกิจกรรมสำคัญอย่างหนึ่งของการศึกษาในปัจจุบัน และถือเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินผลการศึกษา การทำรายงานอาจทำเป็นรายบุคคล หรือเป็นกลุ่มก็ได้ ความยาวของรายงานขึ้นอยู่กับขอบเขตของหัวข้อรายงาน และระยะเวลาในการทำรายงาน       

        ตัวอย่างขั้นตอนการทำรายงาน
           3.1.  หัวข้อเรื่อง อาจจะกำหนดโดยครู หรือผู้เรียนเลือกเอง หากเลือกเองควรเลือกเรื่องที่ตนเองสนใจ มีขอบเขตเนื้อหาไม่กว้างหรือแคบเกิน และคาดว่าจะมีแหล่งข้อมูลให้ค้นคว้าอย่างเพียงพอ จะช่วยให้การทำรายงานสนุกและได้ความรู้เพิ่มขึ้น ส่วนการตั้งชื่อเรื่อง ควรตั้งให้กะทัดรัด ครอบคลุมเนื้อหา และวัตถุประสงค์ของรายงานที่ทำ
           3.2.  ค้นคว้าข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่ง เช่น หนังสือ อินเตอร์เน็ต ซีดีที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ จะได้ความละเอียด แม่นยำ หลากหลายและทันสมัย
           3.3.  เรียบเรียงข้อมูล โดยวางโครงเรื่องให้เป็นหมวดหมู่ตามลำดับ แบ่งเนื้อหาเป็นบท จากหัวข้อใหญ่ที่มีความสำคัญมาก ตามด้วยหัวข้อย่อยที่มีความสำคัญรองลงมา จากนั้นจึงเขียนอย่างเป็นระบบเพื่อความสะดวกในการทำความเข้าใจ
           3.4.  การทำเอกสารอ้างอิง อ้างอิงแหล่งข้อมูลที่ใช้ค้นคว้า เพื่อความสมบูรณ์และน่าเชื่อถือของเนื้อหารายงาน นอกจากทำรายงานแล้ว การนำเสนอหน้าชั้นก็มีความสำคัญ ต้องศึกษาเนื้อหาให้เข้าใจอาจจดหัวข้อสำคัญไว้ดูเผื่อลืม รวมทั้งฝึกซ้อมพูดก่อนนำเสนอจริง เพื่อความพร้อมและความสมบูรณ์ของงาน

       4. การทำแบบฝึกหัด  

 หมายถึง  สื่อการเรียนที่ให้ผู้เรียนได้ฝึกหัดเพื่อช่วยเสริมให้เกิดทักษะ ความรู้และความเข้าใจในบทเรียนตามจุดประสงค์การเรียนรู้ของบทเรียนนั้น

       5. โครงงาน

         หมายถึง  การเรียนรู้ที่เกิดจากความสนใจของผู้เรียน ที่ต้องการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือหลาย ๆ สิ่งที่สงสัยและต้องการรู้คำตอบให้ลึกซึ้ง ชัดเจน หรือต้องการเรียนรู้ในเรื่องนั้น ๆ ให้มากขึ้นกว่าเดิม โดยใช้ความรู้หลาย ๆ ด้าน และทักษะกระบวนการที่ต่อเนื่อง มีการวางแผนในการศึกษา และรับผิดชอบปฏิบัติตามแผน จนได้ข้อสรุปหรือผลการศึกษา หรือคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ อย่างเป็นระบบ เรื่องที่จะทำโครงงานควรเป็นเรื่องที่ผู้เรียนสนใจและสอดคล้องตามสาระการเรียนรู้ตามรายวิชานั้น
ขั้นตอนการทำโครงงานของผู้เรียน
           1. ครูให้ความรู้เกี่ยวกับการทำโครงงานและผู้เรียนทำความเข้าใจเกี่ยวกับการทำโครงงาน
           2. ผู้เรียนและครูร่วมกันศึกษาหลักสูตร และวิเคราะห์สาระของรายวิชา
           3. ผู้เรียนเลือกหัวข้อในการทำโครงงานตามความสนใจ
           4. ผู้เรียนและครูร่วมกันจัดทำแผนการทำโครงงาน
           5. ผู้เรียนศึกษา ค้นคว้า เอกสารและแหล่งเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
           6. ผู้เรียนเขียนโครงร่างการทำโครงงานเพื่อเสนอขอความเห็นชอบต่อครู โดยครูต้องวิเคราะห์โครงร่างให้สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ของสาระรายวิชา หากไม่สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ของสาระรายวิชาดังกล่าว ครูต้องสอนเสริมและให้ค้นคว้าเพิ่มเติม
           7. ผู้เรียนจัดทำรายละเอียดของแผนปฏิบัติการการทำโครงงาน (ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร)
           8. ผู้เรียนปฏิบัติตามแผน โดยมีการจดบันทึกผลการเรียนรู้อย่างเป็นระบบและนำเสนอความก้าวหน้า ผู้เรียนและครูร่วมกันประเมินผลการทำโครงงานเป็นระยะ ตามแผนปฏิบัติการ
           9. ผู้เรียนเขียนรายงานสรุปผลการทำโครงงาน
         10. ผู้เรียนนำเสนอผลการทำโครงงานต่อสาธารณะ โดยใช้สื่อเทคโนโลยี นิทรรศการและสื่ออื่น ๆ ตามความเหมาะสม
         11. ผู้เรียนและครูร่วมกันประเมินผลการเรียนรู้แบบโครงงาน

       
เกณฑ์การประเมินโครงงาน พิจารณาจากองค์ประกอบ ดังนี้
           1. ความสามารถในการทำโครงงาน
                 - การเลือกหัวข้อเรื่องในการทำโครงงาน
                  - ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง
                 - โครงงานที่ทำเป็นงานใหม่ หรือศึกษาเพิ่มเติมจากของเดิม
           2. ความสามารถในการดำเนินการทำโครงงาน
                 - ด้านเนื้อหาของโครงงาน
                       ถูกต้องตามหลักการความเป็นจริง
                       มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
                       เลือกใช้แหล่งความรู้ที่เชื่อถือได้
                       สรุปความรู้ชัดเจนตรงตามจุดประสงค์
                 - ด้านทักษะกระบวนการ
                       มีทักษะกระบวนการคิดในการแก้ปัญหา
                       ศึกษาปัญหา ทำความเข้าใจกับปัญหา
                       วางแผนอย่างเป็นระบบ
                       ดำเนินการตามแผนครบทุกขั้นตอน
                       ประเมินและปรับปรุงการดำเนินการได้เหมาะสม
                       มีทักษะกระบวนการคิดและการสื่อสาร
                       มีความสามารถในการศึกษา ค้นคว้าจากแหล่งความรู้ที่เชื่อถือได้
                       มีการเขียนรายงานผลการทำโครงงานถูกต้องและสื่อความหมายได้ชัดเจน
           3. ความสามารถในการนำเสนอโครงงาน
                       แนวคิดและวิธีการเรียนรู้ความรู้ใหม่ที่ค้นพบ
                       ข้อสรุปของโครงงานบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
                       ข้อมูลสมบูรณ์และชัดเจน
                       รูปแบบนำเสนอเหมาะสม
           4. ความสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ของรายวิชา
                       บรรลุตัวชี้วัดของรายวิชา

               ตัวอย่างหัวข้อการเขียนโครงงาน
                      1.   ชื่อโครงงาน
                      2.   หลักการและเหตุผล
                      3.   วัตถุประสงค์
                      4.   เป้าหมาย
                      5.   ขอบเขตของการศึกษา
                      6.   วิธีดำเนินงานและรายละเอียดของแผน
                      7.   ระยะเวลาดำเนินงาน
                      8.   งบประมาณ
                      9.   ผลที่คาดว่าจะได้รับ
                     10.  ชื่อผู้รับผิดชอบโครงงาน
                     11.  ชื่อครูที่ปรึกษา

       6. แฟ้มสะสมงาน

            หมายถึง สิ่งที่เก็บรวบรวมตัวอย่าง หรือ หลักฐานที่แสดงถึงผลสัมฤทธิ์ ความสามารถ ความพยายาม ความถนัดของบุคคลหรือ ประเด็นที่ต้องจัดทำแฟ้มสะสมงานไว้อย่างเป็นระบบในการจัดทำแฟ้มสะสมงานมีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ
1. เพื่อให้เจ้าของแฟ้มได้ประเมินตนเองว่า ผลการเรียนรู้หรืองานที่ทำเป็นอย่างไร ประสบผลสำเร็จในระดับใด มีระบบหรือไม่ ควรจะปรับปรุงแก้ไขหรือไม่ อย่างไร
2. เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้ประเมินเจ้าของแฟ้มว่า มีความสามารถในการเรียนรู้หรือการปฏิบัติงานเป็นอย่างไร ประสบความสำเร็จในระดับใด ควรจะได้รับการช่วยเหลือหรือพัฒนาหรือไม่อย่างไร

        องค์ประกอบสำคัญของแฟ้มสะสมผลงาน มีดังนี้
           1. ส่วนนำ ประกอบด้วย ปก ข้อมูลส่วนตัวของผู้เรียน ข้อมูลผลการเรียน สารบัญ
           2. ส่วนเนื้อหาของแฟ้มสะสมงาน เป็นส่วนที่แสดงรายละเอียดของผลงานและความคิดเห็นของตนเองต่อผลงานที่ได้เลือก อาจจัดจำแนกตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ หรือลักษณะธรรมชาติของงานก็ได้
           3. เกณฑ์การตัดสินผลงาน ผลการประเมินครู ของตนเอง และของเพื่อนรวมทั้งภาคผนวก(ถ้ามี)

       7. การสอบ

       หมายถึง  การประเมินหาคำตอบว่าผู้เรียนมีความก้าวหน้า ทั้งด้านความรู้
ทักษะ กระบวนการ คุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ อันเป็นผลเนื่องจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้หรือไม่ เพียงใด ซึ่งต้องใช้วิธีการที่หลากหลาย เน้นการปฏิบัติให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสาระการเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งสามารถดำเนินการอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปในกิจกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน

 

กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต (กพช.)

        กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต (กพช.) เป็นกิจกรรมที่เป็นองค์ประกอบสำคัญส่วนหนึ่งในโครงสร้างที่กำหนดไว้ในหลักเกณฑ์ และวิธีการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้กำหนดสาระการเรียนรู้เป็น 5 กลุ่มสาระ ได้แก่ สาระทักษะการเรียนรู้ สาระความรู้พื้นฐาน สาระการประกอบอาชีพ สาระทักษะการดำเนินชีวิต สาระการพัฒนาสังคม และกำหนดให้ผู้เรียนต้องทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต จำนวนไม่น้อยกว่า 100 ชั่วโมง เป็นเงื่อนไขในการจบหลักสูตร โดยเน้นให้ผู้เรียนนำข้อมูล ความรู้และประสบการณ์ มาฝึกทักษะการคิด การวางแผนปฏิบัติการ ที่จะส่งผลต่อการจัดกิจกรรมการพัฒนาตนเอง   ครับครัว  ชุมชน  และสังคม  เพื่อให้ดำรงอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข

หลักการ
        1. สถานศึกษาจัดให้มีการลงทะเบียนกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตในภาคเรียนแรก เพื่อทำความเข้าใจ ให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานของกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต จนเกิดความตระหนัก และเห็นความสำคัญของกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต สามารถเขียนโครงการและดำเนินการตามโครงการได้
        2. สถานศึกษาให้ผู้เรียนเสนอโครงการกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต และวางแผนการเรียนรู้ร่วมกับครู และทำกิจกรรมไม่น้อยกว่า 100 ชั่วโมง โดยให้ผู้เรียนเสนอโครงการได้ตลอดเวลาในทุกภาคเรียน เมื่อมีการวางแผน ประสานงาน และมีความพร้อมจะจัดทำโครงการ ทั้งนี้ให้เป็นไปตามแนวทาง ขั้นตอนที่สถานศึกษากำหนด
        3. กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต เป็นกิจกรรมที่มีเจตนารมณ์ให้มีการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองอยู่ตลอดเวลาอย่างหลากหลายให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม สิ่งแวดล้อม ซึ่งจะมีอยู่ในวิถีการดำเนินชีวิตของตนตลอดเวลา จึงต้องมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้มีการเทียบโอน
        4. ผู้เรียนมีอิสระในการเลือกทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตตามความพร้อม ความถนัดหรือตามความสนใจ
        5. การทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต จะปฏิบัติเป็นกลุ่ม หรือเป็นรายบุคคลก็ได้
        6. การประเมินค่ากิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต ให้ประเมินจากการทำกิจกรรมที่ผู้เรียนเสนอโครงการไว้ในแต่ละภาคเรียน โดยเน้นการประเมินแบบมีส่วนร่วม
        7. กิจกรรมที่ได้รับการประเมินค่าแล้ว หากผู้เรียนประสงค์จะทำกิจกรรมในลักษณะเดิมอีก ต้องเสนอโครงการใหม่ที่ชี้ให้เห็นพัฒนาการของกิจกรรม

วัตถุประสงค์
        
1. เพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสใช้กระบวนการกลุ่มแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ โดยฝึกทักษะการคิด การแก้ปัญหา และความมีเหตุผล
        2. เพื่อปลูกฝังให้ผู้เรียนมีคุณธรรม จริยธรรมและสามารถอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
        3. เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองและมีส่วนร่วมในการพัฒนา   ครอบครัว  ชุมชน และสังคม  ทำให้เกิดความรู้สึกผูกพัน เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนและสังคม

องค์ประกอบกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต
        
กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตประกอบด้วย
         1. ต้องมีความรู้พื้นฐาน เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีขอบข่ายเนื้อหาเกี่ยวกับ
            - โครงสร้างและประโยชน์ของ กพช.
            - แนวทางการพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม
            - กระบวนการกลุ่ม
            - กระบวนการคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น และการนำไปใช้ในการดำเนินชีวิต
            - การประสานเครือข่าย
            - การเป็นผู้นำ ผู้ตาม
            - การวางแผน และประโยชน์ของการวางแผน
            - มนุษยสัมพันธ์
            - การเขียนโครงการ
         2. กิจกรรมโครงการ
            เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงในการทำกิจกรรม โครงการที่เกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชนและสังคม

ลักษณะกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต (กพช.)
         ลักษณะการจัดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้
            1. กิจกรรมการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะชีวิตของตนเอง และครอบครัว โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมของผู้เรียน ดังตัวอย่างต่อไปนี้   เช่น
                - ด้านสุขภาพกาย/จิต เช่น  โครงการ กศน.ไร้พุง
                - ด้านคุณธรรม จริยธรรม เช่น  โครงการสมัคคีสร้างสุข โครงการคุณธรรมนำชีวิต โครงการ 1 ตำบล 1 วัด
                - ด้านเศรษฐกิจพอเพียง เช่น  โครงการรู้รับ  รู้จ่าย  รู้ได้  รู้เก็บ
                - ด้านการพัฒนาตนเอง ในด้านต่างๆ เช่น  โครงการพัฒนาบุคลิกภาพ
                - ด้านยาเสพติด เช่น  โครงการครอบครัวอบอุ่น
                - ด้านเพศศึกษา เช่น  โครงการพ่อแม่รู้ใจ  วัยรุ่นรู้ทัน
                - ด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เช่น  โครงการเตรียมตัวเตรียมใจรับภัยธรรมชาติ

ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณา
         1)  ประโยชน์ที่ตนเอง/ครอบครัวได้รับ เป็นกิจกรรมที่สามารถสร้าง /พัฒนาทักษะการดำเนินชีวิตได้ ตนเอง/ครอบครัวอยู่ได้อย่างมีความสุข
         2)  การมีส่วนร่วมของผู้เรียนและครอบครัว เป็นกิจกรรมที่ดำเนินการแล้วผู้เรียนและครอบครัวเห็นความสำคัญและให้ความร่วมมือ
         3)  การใช้กระบวนการกลุ่ม เป็นกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร่วมมือในการดำเนินงาน มีการประสานงาน   ความรับผิดชอบ เสียสละและจิตบริการ
         4)  ความเหมาะสมในการใช้ระยะเวลาในการปฏิบัติงานตามโครงการ
         5)  ปัจจัยที่เอื้อต่อความสำเร็จ ได้แก่  ความรู้ แหล่งข้อมูล  วัสดุ  งบประมาณ  และการเลือกใช้ทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม  ประหยัด
         6)  ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เป็นการคิดสิ่งใหม่ๆ  ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเอง/ครอบครัว

     ตัวอย่างกิจกรรม กพช. ที่มุ่งเน้นการพัฒนาชุมชน และสังคม โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน
         -  ด้านการพัฒนาชุมชนและสังคม เช่น โครงการอาสาสมัคร ลูกเสือ ยุวกาชาด/ชมรมอาสายุวกาชาดนอกโรงเรียน
         -  ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น โครงการลดโลกร้อนด้วยมือเรา โครงการหน้าบ้านน่ามอง โครงการอนุรักษ์ป่า ไม้แม่น้ำลำคลอง
         -  ด้านศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมและประเพณี เช่น  โครงการอนุรักษ์  รักวัฒนธรรม
         -  ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นและแหล่งเรียนรู้ เช่น  โครงการคลังสมองร่วมพัฒนาชุมชน
         -  ด้านประชาธิปไตย เช่น โครงการเรียนรู้ประชาธิปไตยใส่ใจรักษาสิทธิ
         -  ด้านการสนับสนุนส่งเสริมงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย   เช่น  โครงการบรรณารักษ์อาสา

ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณา

        
1)  ประโยชน์ที่ชุมชนและสังคมจะได้รับหรือเป็นบริการที่ช่วยส่งเสริม หรือพัฒนาคุณภาพชีวิตทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง ตลอดจนสนับสนุนการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยและอื่น ๆ ที่ตอบสนองนโยบายการพัฒนาประเทศ
         2)  การมีส่วนร่วมของคนในชุมชน เป็นกิจกรรมที่ดำเนินการแล้วคนในชุมชนเห็นความสำคัญและให้ความร่วมมือ ทั้งด้านความคิด แรงงาน วัสดุอุปกรณ์และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
         3)  การใช้กระบวนการกลุ่ม เป็นกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร่วมมือในการทำงาน การช่วยกันคิดการประสานงานและแบ่งความรับผิดชอบ ทำให้เกิดความสามัคคี เสียสละ จิตบริการตามวิถีประชาธิปไตย
         4)  การใช้ระยะเวลาในการปฏิบัติงาน เป็นกิจกรรมที่ใช้เวลาในการปฏิบัติงานให้มีความเหมาะสมกับกิจกรรมโครงการที่นำเสนอ
         5)  ปัจจัยที่เอื้อต่อความสำเร็จในการจัดกิจกรรม เช่น บุคลากร วัสดุ งบประมาณ และการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชนให้เป็นไปอย่างประหยัด และประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม
         6)  มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เป็นการคิดสิ่งใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์และทำให้เกิดการพัฒนาชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อม ตลอดจนสามารถพัฒนาได้อย่างต่อเนื่องและอย่างยั่งยืน

กระบวนการดำเนินงานกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต (กพช.)

        
1.  ผู้เรียนลงทะเบียนกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต
         2.  ครูให้ความรู้พื้นฐาน และให้แนวทางการทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต
         3.  ผู้เรียนยื่นคำร้องขอทำกิจกรรม และเสนอโครงการตามแบบที่กำหนด
         4.  ประสานงานกับบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต
         5.  สถานศึกษาแต่งตั้งคณะกรรมการประเมินโครงการ
         6.  ผู้เรียนดำเนินการตามโครงการที่ได้รับอนุมัติพร้อมบันทึกการปฏิบัติงานเป็นรายบุคคลโดยอยู่ในการกำกับดูแลของครูที่ปรึกษาโครงการ
         7.  คณะกรรมการประเมินโครงการ นิเทศติดตามผลการดำเนินงานและประเมินผล
         8.  ผู้เรียนจัดทำเอกสารรายงานผลการดำเนินงานตามโครงการส่งสถานศึกษาเมื่อสิ้นสุดโครงการ
         9.  คณะกรรมการประเมินค่าผลสำเร็จของโครงการเป็นจำนวนชั่วโมงกิจกรรม
       10.  สถานศึกษา และผู้เรียนบันทึกผลจำนวนชั่วโมงที่ทำกิจกรรม กพช.ไว้เป็นหลักฐาน

บทบาทหน้าที่ของผู้เรียน
        
1.  ลงทะเบียนทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต
         2.  ศึกษา แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทำความเข้าใจและประเมินตนเองในด้านความรู้พื้นฐาน
         3.  ร่วมประชุมวางแผนการทำกิจกรรม พัฒนาคุณภาพชีวิต
         4.  ยื่นคำร้องและเสนอโครงการกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต
         5.  ผู้เรียนดำเนินกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตตามโครงการที่ได้รับอนุมัติแล้ว
        6. จัดทำเอกสารรายงานผลการปฏิบัติงานตามโครงการต่อครูที่ปรึกษาตามแผนและระยะเวลาที่สถานศึกษากำหนด โดยผู้เรียนต้องจัดทำรายงานผลการดำเนินงานโครงการดังตัวอย่างเอกสารในภาคผนวก

ขั้นตอนการทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต
         1. ผู้เรียนที่ยื่นคำร้องแสดงความจำนงขอทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต
         2. แนบโครงการที่เขียนแล้ว พร้อมทั้งแบบคำร้อง แสดงความจำนงขอทำกิจกรรมพัฒนา คุณภาพชีวิตเพื่อขออนุมัติโครงการต่อสถานศึกษา โครงการประกอบด้วยรายละเอียดดังต่อไปนี้
             2.1. ชื่อโครงการ
             2.2. หลักการและเหตุผล
                   - บอกเหตุผลและความจำเป็นหรือความสำคัญของโครงการ
             2.3. วัตถุประสงค์
                   - ระบุว่าโครงการนี้ทำเพื่ออะไร เกิดประโยชน์อย่างไร
             2.4. ขั้นตอนการดำเนินงาน
                   - บอกวิธีการทำงานว่าขั้นตอนอย่างไร ตั้งแต่เริ่มทำโครงการจนสิ้นสุดโครงการ
             2.5. สถานที่ดำเนินงาน
                   - ระบุสถานที่ที่จะดำเนินการ
             2.6. ระยะเวลา
                   - ระบุว่า โครงการที่จะปฏิบัตินั้นเริ่มและสิ้นสุดวันใด
             2.7. งบประมาณ
                   - ตั้งงบประมาณหรือองค์ประกอบที่จะทำให้โครงการบรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย เช่น วัสดุ แรงงาน
             2.8. ผู้รับผิดของโครงการ
                   - ระบุผู้รับผิดชอบโครงการว่ามีใครบ้าง กี่คน
             2.9. ผลที่คาดว่าจะได้รับ
                   - ระบุว่าจากการทำโครงการนั้น คาดว่าจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง
           3. เมื่อสถานศึกษาอนุมัติโครงการแล้ว ให้ผู้เรียนนำโครงการดังกล่าวมาดำเนินงานโดยอยู่ในการกำกับดูแลของครู และคณะกรรมการ
         4. เมื่อดำเนินงานเสร็จสิ้นแล้ว ก็ให้จัดทำรายงานการดำเนินงานต่อสถานศึกษา เพื่อให้คณะกรรมการพิจารณา และประเมินผลสำเร็จของโครงการ

การประเมินผลสำเร็จของโครงการกิจกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิต (กพช.)
       การประเมินผลสำเร็จของโครงการกิจกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิต(กพช.) ที่ผู้เรียนได้ปฏิบัติเสร็จสิ้นแล้วนั้น ให้พิจาณาตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนด

การประเมินผล
       การประเมินผลการทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้
       1. การประเมินตนเอง เป็นการประเมินผลการเรียนรู้และการเข้าร่วม/ทำกิจกรรมตามแบบที่กำหนด (ตัวอย่างแบบประเมินตนเองในภาคผนวก) หรือให้ความรู้นั้นๆ  เพิ่มเติมจนผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจ
       2.  การประเมินผลโครงการ ให้คณะกรรมการประเมินกิจกรรมเป็นผู้พิจารณาและประเมินผลการปฏิบัติตามแบบประเมินที่กำหนด
       3.  เกณฑ์การพิจารณาการประเมินโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิต ผู้เรียนต้องได้คะแนนรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 จึงจะถือว่าผ่าน

เกณฑ์การผ่านกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต (กพช.)
       1.  ผู้เรียนต้องเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ และปฏิบัติโครงการรวมไม่น้อยกว่า 100 ชั่วโมง
       2.  โครงการต้องบรรลุวัตถุประสงค์โดยชิ้นงาน ร่องรอยและ/หรือเอกสารรายงานมาแสดง

สื่อการเรียนรู้
       
ในการจัดการเรียนรู้   ผู้เรียนจะได้รับสื่อเอกสารประกอบการเรียนที่สถานศึกษาจัดให้ยืมเรียน นอกจากนั้นผู้เรียนยังต้องแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง โดยการใช้สื่อการเรียนรู้ที่หลากหลาย   ได้แก่  สื่อสิ่งพิมพ์  สื่ออิเล็กทรอนิกส์  สื่อบุคคล ภูมิปัญญา แหล่งเรียนรู้ที่มีอยู่ในท้องถิ่น ชุมชน และแหล่งเรียนรู้อื่น ๆ ผู้เรียน  ครู  สามารถพัฒนาสื่อการเรียนรู้ขึ้นเอง  หรือนำสื่อต่างๆ ที่มีอยู่ใกล้ตัวและข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องมาใช้ในการเรียนรู้ โดยใช้วิจารณญาณในการเลือกใช้สื่อต่างๆ  ที่มีอยู่ใกล้ตัว และข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องมาใช้ในการเรียนรู้ โดยใช้วิจารญาณในการเลือกใช้สื่อต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีคุณค่า   น่าสนใจ  ชวนคิด  ชวนติดตาม  เข้าใจง่าย เป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนรู้จัดวิธีการแสวงหาความรู้เกิดการเรียนรู้อย่างกว้างขวางลึกซึ้ง และต่อเนื่องตลอดเวลา

 

การเทียบโอนผลการเรียน
           การเทียบโอนผลการเรียนเป็นเครื่องมือในการเชื่อมโยงผลการเรียนรู้ที่หน่วยงานต่าง ๆ ร่วมจัดการศึกษาและเชื่อมโยงผลการเรียนรู้จากวิธีการเรียนที่หลากหลาย รวมทั้งจากการประกอบอาชีพและประสบการณ์ต่าง ๆ  และเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมให้บุคคลมีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตเมื่อบุคคลตระหนักและรับรู้ว่าสิ่งที่ได้เรียนรู้มานั้น สามารถนำมาเพิ่มคุณค่าโดยการเทียบโอนเป็นผลการเรียน  นับเป็นผลพลอยได้จากการเรียนรู้  นอกเหนือจากการนำสิ่งที่ได้เรียนรู้นั้นไปแก้ไขปัญหาในการประกอบอาชีพ  พัฒนาการทำงานให้ดีขึ้น  หรือแม้กระทั่งการนำสิ่งที่ได้เรียนรู้นั้นไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน

หลักการ
           การเทียบโอนผลการเรียนมีหลักการ  ดังนี้
           1.  หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน  พุทธศักราช  2551  เป็นหลักสูตรที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเทียบโอนผลการเรียนได้
           2.  การเทียบโอนผลการเรียนต้องสามารถเทียบโอนผลการเรียนที่ผู้เรียนสะสมไว้  ทั้งจากการศึกษาในระบบ  การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย  การศึกษาอาชีพหรือประสบการณ์การทำงาน
           3.  เป็นการเชื่อมโยงการศึกษาทั้งสามรูปแบบ  เพื่อส่งเสริมให้เกิดการศึกษาตลอดชีวิต
           4.  เป็นการกระจายอำนาจให้สถานศึกษาในการเทียบโอนผลการเรียน  โดยสถานศึกษาจะต้องจัดให้บุคลากรหรือเจ้าหน้าที่  ทำหน้าที่ให้คำแนะนำและดำเนินการให้มีการเทียบโอนผลการเรียน
           5.  วิธีการและหลักเกณฑ์การเทียบโอนผลการเรียนต้องได้มาตรฐานชัดเจนสมเหตุสมผลเชื่อถือได้โปร่งใสและยุติธรรม

วัตถุประสงค์
           1.  เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่ออกจากการศึกษาในระบบ  หรือนอกระบบรวมทั้งผู้ที่เรียนรู้ตามอัธยาศัยสามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้เข้าสู่หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช  2551
           2. เพื่อเปิดโอกาสให้มีการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระดับการศึกษาเดียวกันหรือระดับที่สูงขึ้น         
                

ขอบข่ายการเทียบโอนผลการเรียน
           แนวทางการเทียบโอนผลการเรียน  ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบ  ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน  พุทธศักราช  2551  จัดทำขึ้นเป็นแนวทางให้สถานศึกษาใช้ในการเทียบโอนผลการเรียน  ระหว่างรูปแบบการศึกษาในระบบ  การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย  ระหว่างหลักสูตรของหน่วยงานต่าง ๆ  เข้าสู่  หลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน  พุทธศักราช   2551  มีขอบข่าย ดังนี้
           1.  การเทียบโอนผลการเรียนจากหลักสูตรที่จัดการศึกษาเป็นระดับประถม  มัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายหรือเทียบเท่า
           เป็นการเทียบโอนผลการเรียนจากหลักฐานการศึกษา  ที่ออกให้โดยสถานศึกษาของรัฐและเอกชน  ที่จัดการศึกษาตามหลักสูตรที่กระทรวงศึกษาธิการประกาศใช้  หรือให้การรับรอง และจัดระดับการศึกษาเป็นระดับประถมศึกษา  มัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือเทียบเท่า  ตามหลักสูตร  ทั้งที่จัดในรูปแบบการศึกษาในระบบและการศึกษานอกระบบ
           2.  การเทียบโอนผลการเรียนจากการศึกษาต่อเนื่อง
           เป็นการเทียบโอนผลการเรียนจากการเรียนในหลักสูตรระยะสั้น หรือหลักสูตรฝึกอบรมที่จัดขึ้นตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ
           3.  การเทียบโอนความรู้และประสบการณ์กลุ่มเป้าหมายเฉพาะ
           เป็นการเทียบโอนความรู้และประสบการณ์จากการเป็นทหารกองประจำการ อาสาสมัครสาธารณสุข ผู้นำท้องถิ่น และแรงงานไทยที่ผ่านการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติและกลุ่มเป้าหมายอื่น ๆ ที่ได้ทำข้อตกลงร่วมกัน
           4.  การเทียบโอนผลการเรียนจากหลักสูตรต่างประเทศ
           เป็นการเทียบโอนผลการเรียนจากการศึกษาหลักสูตรต่างประเทศ  ที่มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศนั้น ๆ ให้การรับรองมาตรฐานการจัดการศึกษา  หรือผลการเรียนจากหลักสูตรของโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยที่กระทรวงศึกษาธิการประกาศเทียบความรู้  
           5.  การเทียบโอนผลการเรียนจากการประเมินความรู้และประสบการณ์
           เป็นการเทียบโอนผลการเรียน  โดยใช้วิธีการประเมินความรู้และประสบการณ์ของผู้เรียน  ซึ่งมีการเรียนรู้จากการศึกษาตามอัธยาศัย  การประกอบอาชีพ  การทำงาน โดยอาจมีหลักฐานเชิงประจักษ์จากการทำงาน หลักฐานอื่น ๆที่เกี่ยวข้องหรือไม่มีหลักฐานก็ได้


คุณสมบัติทั่วไปของผู้ขอเทียบโอนผลการเรียน
           1.  ต้องไม่เป็นนักเรียนหรือนักศึกษา  ในระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษาหรือระดับที่เทียบเท่าของสถานศึกษาอื่น
           2.  ต้องขึ้นทะเบียนเป็นนักศึกษาตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช  2551


วิธีการเทียบโอนผลการเรียน
           การเทียบโอนผลการเรียนมี  2 วิธี คือ
            วิธีที่  1  การพิจารณาจากหลักฐานการศึกษา
                 1.1  การพิจารณาหลักฐานการศึกษาจากหลักสูตรที่จัดการศึกษาเป็นระดับ เป็นการตรวจสอบหลักสูตรผลการเรียนในรายละเอียดเกี่ยวกับ ระดับหรือชั้นปีที่เรียนจบมา  รายวิชาที่เรียน ผลการเรียน ความถูกต้องของหลักฐาน โดยหลักฐานการศึกษาที่นำมาเทียบโอนผลการเรียนต้องเป็นหลักฐานที่ออกโดยสถานศึกษาของรัฐ หรือเอกชนที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน หรือวิทยฐานะทางการศึกษา
                 1.2  การพิจารณาหลักฐานจากการศึกษาต่อเนื่อง  เป็นการตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับหลักสูตร  เนื้อหาวิชาที่ศึกษา  จำนวนชั่วโมง หน่วยงานที่จัด  เพื่อพิจารณาเทียบโอนให้สอดคล้องกับรายวิชาตามหลักสูตร ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการเทียบโอนผลการเรียนของสถานศึกษา

            วิธีที่  2  การประเมินความรู้และประสบการณ์  เป็นการวัดตรวจสอบและประเมินผลการเรียนรู้และประสบการณ์ของผู้เรียนที่เกิดจากการประกอบอาชีพ การทำงาน จากการเรียนรู้ตามอัธยาศัย  โดยใช้เครื่องมือประเมินที่หลากหลาย เช่น แบบทดสอบ  แบบสัมภาษณ์  การปฏิบัติจริง เป็นต้น


การเทียบโอนผลการเรียนจากหลักฐานการศึกษา  มีขอบข่ายดังนี้
            1.  การเทียบโอนผลการเรียนจากหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน  พุทธศักราช  2544 
(ในระบบ)  เข้าสู่หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช  2551
            2. การเทียบโอนผลการเรียนจากหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการศึกษานอกโรงเรียนตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช  2544 (นอกระบบ)  เข้าสู่หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช  2551
            3.  การเทียบโอนผลการเรียนจากหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) พุทธศักราช  2545  เข้าสู่หลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช  2551
            4.  การเทียบโอนผลการเรียนจากหลักสูตรอื่น ๆ ที่กระทรวงศึกษาธิการประกาศใช้


หลักเกณฑ์การเทียบโอนผลการเรียนจากหลักฐานการศึกษาหลักสูตรที่จัดการศึกษาเป็นระดับ
            1.  คณะกรรมการเทียบโอนผลการเรียนของสถานศึกษา ศึกษา วิเคราะห์หลักสูตรของสถานศึกษาที่ผู้เรียนนำหลักฐานการศึกษามาเทียบโอนผลการเรียน  แล้วจัดทำตารางวิเคราะห์หลักสูตรเพื่อใช้ในการเทียบโอนผลการเรียน

            2.  การพิจารณาเทียบโอนให้พิจารณาจาก
                 2.1  ระยะเวลาและระดับชั้นที่ผู้ขอเทียบโอนเรียนผ่านมา
                 2.2  รายวิชา/ หมวดวิชา ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ตัวชี้วัดของรายวิชาหรือคำอธิบายรายวิชา ระหว่างรายวิชาที่นำมาเทียบโอนกับรายวิชาที่รับเทียบโอน  ต้องมีความสอดคล้องกันไม่น้อยกว่าร้อยละ  60
                 2.3  จำนวนหน่วยกิตของรายวิชา/หมวดวิชาที่นำมาเทียบโอน  ต้องไม่น้อยกว่าจำนวนหน่วยกิตในรายวิชาที่รับเทียบโอนผลการเรียน  หากรายวิชาที่นำมาเทียบโอนผลการเรียนมีจำนวนหน่วยกิตน้อยกว่าจำนวนหน่วยกิตในรายวิชาที่รับเทียบโอนผลการเรียน  อาจนำรายวิชาอื่นที่อยู่ในสาระและมาตรฐานเดียวกัน  มานับรวมให้ได้จำนวนหน่วยกิตเท่ากับ หรือมากกว่าจำนวนหน่วยกิตในรายวิชาที่รับเทียบโอนผลการเรียน
                 2.4  ไม่รับเทียบโอนรายวิชา/ หมวดวิชาที่มีค่าระดับผลการเรียนเป็น  0  ร  มส

            3.  ให้เทียบโอนผลการเรียนได้ทั้งรายวิชาบังคับและรายวิชาเลือก  โดยนับรวมกันแล้วต้องไม่เกินจำนวนหน่วยกิตที่กำหนดในแต่ละระดับการศึกษา
                   ระดับประถมศึกษา                           เทียบโอนได้ไม่เกิน            36           หน่วยกิต
                   ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น                 เทียบโอนได้ไม่เกิน            42           หน่วยกิต
                   ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย             เทียบโอนได้ไม่เกิน            57           หน่วยกิต

            4.  การให้ค่าระดับผลการเรียนจากการเทียบโอน
                   4.1  ผลการเรียนเป็นรายวิชา  ให้ใช้ค่าระดับผลการเรียนตามที่ปรากฏในหลักฐานการศึกษาที่นำมาเทียบโอน  ถ้าผลการเรียนในหลักสูตรเดิมมากกว่า 1 รายวิชานำมาเทียบโอนกับหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช  2551 ได้  1  รายวิชา  ให้นำค่าระดับผลการเรียนของรายวิชาที่ขอเทียบโอนมาเฉลี่ยหากมีจุดทศนิยมให้ปรับทศนิยมตามหลักการทางคณิตศาสตร์  เพื่อบันทึกผลการเรียนต่อไป
                   4.2  ผลการเรียนเป็นหมวดวิชา  ให้ใช้ค่าระดับผลการเรียนของหมวดวิชาเป็นค่าระดับผลการเรียนในรายวิชาที่เทียบโอนได้

            5.  หัวหน้าสถานศึกษา  พิจารณาอนุมัติผลการเทียบโอน  
                   

การเทียบโอนผลการเรียนจากการศึกษาต่อเนื่อง

            การเทียบโอนผลการเรียนจากการศึกษาต่อเนื่อง  หมายถึง  การนำผลการเรียนจากการศึกษาที่เป็นหลักสูตรเฉพาะหรือหลักสูตรฝึกอบรมตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับอาชีพ  ทักษะชีวิต  การพัฒนาคุณภาพชีวิต  การพัฒนาสังคมและชุมชน  มาขอเทียบโอนเป็นส่วนหนึ่งของผลการเรียนตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช  2551  ได้แก่
            1.  การศึกษาหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น
            2.  การเข้าค่ายศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา
            3.  การจัดฐานการเรียนของศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา
            4.  หลักสูตรการศึกษาหรือหลักสูตรการอบรมที่หน่วยงานภาครัฐหรือหน่วยงานภาคเอกชนเป็นผู้จัดการศึกษา  ได้แก่
                        4.1  กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
                        4.2  กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
                        4.3  กระทรวงมหาดไทย
                        4.4  กระทรวงสาธารณสุข
                        4.5  กระทรวงกลาโหม
                        4.6  องค์กรเอกชน (NGO)


หลักเกณฑ์การเทียบโอนผลการเรียนจากการศึกษาหลักสูตรต่อเนื่อง

            1.  เป็นหลักสูตรที่หน่วยงานของรัฐจัดขึ้น  ถ้าเป็นหลักสูตรของหน่วยงานหรือองค์กรเอกชน จะต้องผ่านการเห็นชอบของคณะกรรมการเทียบโอนผลการเรียนของสถานศึกษา
            2.  เอกสารหลักฐานที่จะนำมาเทียบโอนจะต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้มาแล้วไม่เกิน  5 ปี นับจากวันที่ออกหลักฐาน หรืออยู่ในดุลพินิจของคณะกรรมการเทียบโอนผลการเรียนของสถานศึกษา  โดยสถานศึกษาจะต้องตรวจสอบกับต้นฉบับจริง  และให้สถานศึกษาประทับตราแสดงว่าได้ผ่านการใช้หลักฐานมาแล้ว  เพื่อไม่ให้นำผลการเรียนไปเทียบโอนซ้ำ
            3.  สถานศึกษาดำเนินการสัมภาษณ์ผู้ขอเทียบโอน  ประกอบเอกสารที่นำมาเสนอขอเทียบโอน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการศึกษาในหลักสูตรที่นำมาเทียบโอน เช่น วุฒิบัตร ประกาศนียบัตร เอกสารประกอบการอบรม ตารางการอบรม และบันทึกการเรียนรู้ เป็นต้น
            4.  เกณฑ์การนับจำนวนชั่วโมง  ให้พิจารณาจากเนื้อหารายวิชาที่อยู่ในกลุ่มสาระหมวดวิชาเดียวกัน  โดยคิดคำนวณจาก  40 ชั่วโมงเป็น  1  หน่วยกิต
            5.  ให้พิจารณาความสอดคล้องของสาระเนื้อหารายละเอียดที่ไปเรียนรู้มาเพื่อเทียบเข้ากับรายวิชาในหลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช  2551  ซึ่งจะต้องมีความสอดคล้องกันไม่น้อยกว่าร้อยละ  60  และให้คำนึงถึงมาตรฐานของรายวิชา  ความยากง่ายและซับซ้อนของเนื้อหาสาระประกอบด้วย
            6.  ให้ระดับผลการเทียบโอนเป็น  “ผ่าน”
            7.  หลักฐานที่มาขอเทียบโอนสามารถใช้เทียบโอนได้ในระดับใดระดับหนึ่งเท่านั้น
            8.  ให้บันทึกข้อความ ลงในด้านหลังของหลักฐานฉบับจริงดังตัวอย่างข้างล่างนี้




การเทียบโอนผลการเรียนจากการศึกษาหลักสูตรต่างประเทศ

        การเทียบโอนผลการเรียนจากการศึกษาหลักสูตรของต่างประเทศ  เป็นการนำผลการเรียนจากหลักสูตรต่างประเทศสายสามัญ และสายอาชีพ  ที่ศึกษาทั้งในประเทศ และต่างประเทศ  รวมทั้งผลการเรียนของนักเรียนในโครงการแลกเปลี่ยนมาเทียบโอนเป็นผลการเรียน  ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช  2551  โดยให้ปฏิบัติตามแนวทางการเทียบโอนผลการเรียนทั่วไป และแนวทางการเทียบโอนผลการเรียนจากการศึกษาหลักสูตรต่างประเทศ


ขอบข่ายการเทียบโอน

        การเทียบโอนผลการเรียนจากหลักสูตรต่างประเทศมีขอบข่าย ดังนี้
        1. การเทียบโอนผลการเรียนจากหลักสูตรต่างประเทศที่จัดเป็นชั้นปีหรือเกรด
        2. การเทียบโอนผลการเรียนจากการสอบวุฒิต่างประเทศที่จัดโดยองค์กรของรัฐ
        3. การเทียบโอนผลการเรียนจากการศึกษาในโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนระหว่างประเทศ
        4.  การเทียบโอนผลการเรียนจากการประเมินความรู้และประสบการณ์

                   

เงื่อนไขการเทียบโอน
        ให้ยกเว้นการเทียบโอนรายวิชาภาษาไทย  รายวิชาเศรษฐกิจพอเพียงและรายวิชาทักษะการเรียนรู้  ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช  2551  ในทุกระดับการศึกษา

                   

ระดับผลการเรียนจากการเทียบโอน
        ให้ระดับผลการเรียนเป็น “ผ่าน”  ยกเว้น การเทียบความรู้และประสบการณ์ให้เป็นค่าระดับผลการเรียน


หลักฐานการเทียบโอน

        หลักฐานการศึกษาที่ใช้ประกอบการพิจารณาเทียบโอนผลการเรียน  ให้พิจารณาตามประเภทของการเทียบโอน




การประเมินความรู้และประสบการณ์
       การประเมินความรู้และประสบการณ์ หมายถึง การวัด การตรวจสอบและประเมินผลการเรียนรู้  ความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ของผู้เรียนที่เกิดจากการเรียนรู้ตามอัธยาศัย   การทำงาน  การประกอบอาชีพ

       กรณีที่ต้องประเมินความรู้และประสบการณ์
          การประเมินความรู้และประสบการณ์ เป็นวิธีการหนึ่งของการเทียบโอนผลการเรียนสถานศึกษาทุกแห่งสามารถประเมินความรู้และประสบการณ์ของผู้เรียนได้ ซึ่งจะนำมาใช้ในกรณีต่อไปนี้
         1. ผู้เรียนที่มาขอเทียบโอนผลการเรียนมีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นอย่างดี มีหลักฐานของการนำความรู้และประสบการณ์นั้น ๆ ไปใช้ หรือหากไม่มีหลักฐานแต่ก็เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่ามีความรู้ความสามารถและความชำนาญในเรื่องนั้น ๆ
        2. ผู้เรียนมีหลักฐานผลการเรียนรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือหลายเรื่องที่ตนสนใจ แต่หลักฐานดังกล่าวมิได้รับการรับรองจากหน่วยงานทางการศึกษา
        3. ผู้เรียนที่มีความรู้ความสามารถจากการประกอบอาชีพ การทำงาน จากการเรียนรู้ในวิถีชีวิต หรือการเรียนรู้ตามอัธยาศัย ที่มีการสั่งสมความรู้มาอย่างต่อเนื่อง

       สาระ/รายวิชาที่เปิดให้ประเมินความรู้และประสบการณ์
          สถานศึกษาสามารถจัดให้มีการประเมินความรู้และประสบการณ์ได้ทุกรายวิชา
ทั้ง 5 สาระ
         1. สาระทักษะการเรียนรู้
         2. สาระความรู้พื้นฐาน
         3. สาระการประกอบอาชีพ
         4. สาระการดำเนินชีวิต
         5. สาระการพัฒนาสังคม

        
 


การวัดผลประเมินผลการเรียน
        การวัดและประเมินผลการเรียนตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช  2551  มี 2 ลักษณะได้แก่
        1. การวัดและประเมินผลรายวิชา  สถานศึกษาดำเนินการประเมินผลรายวิชาดังนี้
              1.1. การวัดและประเมินผลก่อนเรียน  เป็นการตรวจสอบความรู้ ทักษะและความพร้อมต่าง ๆ ของผู้เรียนเพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับสภาพความพร้อมและความรู้พื้นฐานของผู้เรียน
              1.2.  การวัดและประเมินผลระหว่างภาคเรียน   สถานศึกษาดำเนินการประเมินผลระหว่างภาคเรียนเพื่อทราบความก้าวหน้าทั้งด้านความรู้  ทักษะ เจตคติ และพฤติกรรมการเรียนการร่วมกิจกรรมและผลงาน อันเป็นผลมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้   รายละเอียดของคะแนนระหว่างภาค ประกอบด้วย
                  1).  การให้ความร่วมมือกับสถานศึกษา  หมายถึง การที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมใน
กิจกรรมต่างๆ ของสถานศึกษา เช่น การร่วมเดินรณรงค์ต่อต้านยาเสพติด การเข้าร่วมในวันสำคัญ ร่วมกิจกรรมของสถานศึกษา เป็นต้น
                  2).  ผลงานที่กำหนดเป็นร่องรอยในแฟ้มสะสมงาน
                  3).  การแสดงออกและการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้  หมายถึง การร่วมอภิปรายการช่วยงานกลุ่ม การตอบคำถาม
              1.3.  การวัดผลประเมินผลปลายภาคเรียน  มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบผลการเรียนรู้โดยรวมของผู้เรียนในแต่ละรายวิชา  โดยใช้เครื่องมือ เช่น แบบทดสอบปรนัย แบบทดสอบอัตนัย แบบประเมินการปฏิบัติ เป็นต้น
การวัดและประเมินผลปลายภาคเรียนนั้น  ผู้เรียนที่จะผ่านการประเมินรายวิชาใด  จะต้องเข้าสอบปลายภาคเรียนและมีคะแนนปลายภาคเรียนรวมกับคะแนนระหว่างภาคเรียนผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำตามเกณฑ์ที่สำนักงาน กศน. กำหนด                     
              1.4 การตัดสินผลการเรียนรายวิชา
                การตัดสินผลการเรียนรายวิชา  ให้นำคะแนนระหว่างภาคเรียนมารวมกับคะแนนปลายภาคเรียน  และจะต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ  50  จึงจะถือว่าผ่านการเรียนในรายวิชานั้น
                ทั้งนี้  ผู้เรียนต้องเข้าสอบปลายภาคเรียนด้วย  แล้วนำคะแนนไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนดโดยให้ค่าระดับผลการเรียนเป็น  8 ระดับ ดังนี้
           

          ได้คะแนนร้อยละ 80-100 ให้ระดับ   4 หมายถึง ดีเยี่ยม
          ได้คะแนนร้อยละ 75-79 ให้ระดับ 3.5   หมายถึง ดีมาก
          ได้คะแนนร้อยละ 70-74 ให้ระดับ 3   หมายถึง
          ได้คะแนนร้อยละ 65-69 ให้ระดับ 2.5   หมายถึง ค่อนข้างดี
          ได้คะแนนร้อยละ 60-64 ให้ระดับ 2   หมายถึง ปานกลาง
          ได้คะแนนร้อยละ 55-59   ให้ระดับ  1.5 หมายถึง พอใช้
          ได้คะแนนร้อยละ 50-54 ให้ระดับ 1   หมายถึง ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนด
          ได้คะแนนร้อยละ 0-49 ให้ระดับ 0   หมายถึง ต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนด

              กรณีผู้เรียนมีผลการเรียนต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนด  ให้ดำเนินการพัฒนาผู้เรียนในรายวิชาที่ได้ค่าระดับผลการเรียนไม่ผ่านเกณฑ์  ด้วยวิธีการที่หลากหลาย เช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ การประเมินการปฏิบัติจริง  ทดสอบย่อย ประเมินจากกิจกรรม  โครงงาน หรือแบบฝึกหัด เป็นต้น  โดยเลือกให้สอดคล้องและเหมาะสมกับธรรมชาติของรายวิชา  ถ้าผู้เรียนสามารถผ่านเกณฑ์การประเมินผลการเรียนรู้ที่คาดหวังแล้ว  ให้ระดับผลการเรียนใหม่  โดยให้ค่าระดับผลการเรียนไม่เกิน  1  สำหรับผู้เรียนที่ปรับปรุงพัฒนาแล้ว  ไม่ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำ  ให้ลงทะเบียนซ้ำในรายวิชาเดิมหรือเปลี่ยนรายวิชา  ทั้งนี้ให้เป็นไปตามโครงสร้างหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช  2551  และดำเนินการให้เสร็จสิ้นก่อนปิดการลงทะเบียนเรียนในภาคเรียนถัดไป

              1.5 การขอเลื่อนสอบปลายภาค
                ในกรณีที่ผู้เรียนมีเหตุสุดวิสัย  หรือมีเหตุจำเป็นฉุกเฉินไม่สามารถเข้าสอบปลายภาคเรียนตามวัน เวลา ตามที่กำหนด  ผู้เรียนสามารถยื่นคำร้องขอเลื่อนสอบต่อสถานศึกษา  โดยชี้แจงเหตุผลความจำเป็นพร้อมทั้งแสดงหลักฐาน  ทั้งนี้สถานศึกษาจะต้องขอเลื่อนสอบต่อผู้มีอำนาจต่อไป

              1.6 การประเมินสอบซ่อม
                 ผู้ที่มีสิทธิ์เข้ารับการประเมินซ่อม  คือ ผู้เรียนที่เข้าสอบปลายภาคเรียน  แต่ผลการประเมินไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินผลรายวิชา  โดยให้ผู้เรียนเข้ารับการประเมินซ่อมตาม วัน เวลา สถานที่และวิธีที่สถานศึกษาหรือต้นสังกัดกำหนด  และให้ค่าระดับผลการเรียนไม่เกิน  1
 

        2. การประเมินกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต

                 การประเมินกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต (กพช.) เป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ผู้เรียนทุกคนจะต้องได้รับการประเมินตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด  โดยผู้เรียนจะต้องทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตไม่น้อยกว่า 100 ชั่วโมง  จึงจะได้รับการพิจารณาอนุมัติให้จบหลักสูตรในแต่ละระดับการศึกษา
                                       

        3.  การประเมินคุณธรรม 
                 ป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ผู้เรียนทุกคนต้องได้รับการประเมินตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด  จึงจะได้รับการพิจารณาให้จบหลักสูตรในแต่ละระดับการศึกษา  โดยคณะกรรมการวัดและประเมินผลของสถานศึกษาพิจารณาคุณธรรมเบื้องต้น  ที่สำนักงาน กศน. กำหนด  ทั้งนี้สถานศึกษาสามารถกำหนดเพิ่มเติมได้  โดยเสนอขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษาและประกาศให้ผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบและมีส่วนร่วมในการประเมินคุณธรรม
                 กรอบของคุณธรรม  เบื้องต้นที่สำนักงาน กศน. กำหนดเพื่อใช้เป็นหลักในการประเมิน มีจำนวน 9 คุณธรรม ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช  2551  แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
                 กลุ่มที่  1 คุณธรรมเพื่อการพัฒนาตน ประกอบด้วย
                         1. สะอาด
                         2. สุภาพ
                         3. กตัญญูกตเวที

                 กลุ่มที่ 2  คุณธรรมเพื่อการพัฒนาการทำงาน ประกอบด้วย
                         4. ขยัน
                         5. ประหยัด
                         6. ซื่อสัตย์

                 กลุ่มที่ 3  คุณธรรมเพื่อการพัฒนาการอยู่ร่วมกันในสังคม ประกอบด้วย
                         7. สามัคคี
                         8. มีน้ำใจ
                         9. มีวินัย

                 บทบาทของผู้เรียนในการประเมินคุณธรรมคือ
                         1.  ศึกษาพฤติกรรมบ่งชี้ของคุณธรรมแต่ละด้าน
                         2.  ฝึกปฏิบัติ พัฒนาตนเองให้มีคุณธรรมตามพฤติกรรมบ่งชี้
                         3.  รวบรวมหลักฐานเพื่อแสดงถึงการประพฤติปฏิบัติตามคุณธรรมด้านต่าง ๆ
                         4.  ประเมินตนเองตามแบบประเมินคุณธรรม
                         5.  ส่งแบบประเมินตนเองพร้อมหลักฐานให้ครู


พฤติกรรมบ่งชี้ของผู้เรียนในด้านคุณธรรม

                 พฤติกรรมบ่งชี้  เป็นข้อกำหนดเชิงพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นว่าการปฏิบัติดังกล่าวสอดคล้องกับคุณธรรม  จัดทำขึ้นเป็นแนวทางให้สถานศึกษาใช้เป็นข้อมูลในการประเมินคุณธรรมผู้เรียน  สถานศึกษาสามารถปรับหรือเพิ่มเติมพฤติกรรมบ่งชี้ดังกล่าวให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้เรียนได้โดยมีรายละเอียดดังนี้
 
       



ระยะเวลาการประเมิน
         1.  ดำเนินการประเมินคุณธรรมผู้เรียนระหว่างภาคเรียนและสรุปผลการประเมินเมื่อสิ้นสุดภาคเรียน  เพื่อนำผลการประเมินมาใช้ในการพัฒนาคุณธรรมผู้เรียนในภาคเรียนถัดไป
         2.  ดำเนินการประเมินคุณธรรมต่อเนื่องทุกภาคเรียนจนจบการศึกษาแต่ละระดับ  ซึ่งสถานศึกษาจะเห็นพัฒนาการคุณธรรมของผู้เรียนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนจนจบการศึกษา
         3. สถานศึกษาพึงแจ้งผลการประเมินในระหว่างภาคเรียนให้ผู้เรียนทราบถึงระดับผลการประเมินที่ตนเองได้รับ  และสถานศึกษาต้องเสนอแนะ  หรือจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองให้บรรลุตามเกณฑ์ที่กำหนด

เกณฑ์การประเมิน
       การประเมินคุณธรรม  กำหนดเกณฑ์การประเมินเป็น  4 ระดับ คือ
         ดีมาก            หมายถึง        ผู้เรียนมีพฤติกรรมตามตัวบ่งชี้   ร้อยละ 90 ขึ้นไปของ พฤติกรรมบ่งชี้ในแต่ละคุณธรรม
         ดี                   หมายถึง        ผู้เรียนมีพฤติกรรมตามตัวบ่งชี้   ร้อยละ 70-89 ของพฤติกรรมบ่งชี้ในแต่ละคุณธรรม
         พอใช้            หมายถึง        ผู้เรียนมีพฤติกรรมตามตัวบ่งชี้   ร้อยละ 50-69 ของพฤติกรรมบ่งชี้ในแต่ละคุณธรรม
         ปรับปรุง        หมายถึง        ผู้เรียนมีพฤติกรรมตามตัวบ่งชี้   ร้อยละ 0-49 ของพฤติกรรมบ่งชี้ในแต่ละคุณธรรม

      

การสรุปผลการประเมิน
       การสรุปผลการประเมินคุณธรรม  ใช้ผลการประเมินในภาคเรียนสุดท้ายที่ผู้เรียนจบการศึกษาเพื่อนำผลการประเมินไปประกอบการศึกษาต่อหรือเพื่อประโยชน์อื่น
       ในกรณีที่ผู้เรียนย้ายสถานศึกษา  ให้สถานศึกษาจัดทำรายละเอียดผลการประเมินในแต่ละภาคเรียนแนบพร้อมกับระเบียนแสดงผลการเรียน

แบบประเมิน
     แบบประเมินคุณธรรมผู้เรียน มี  2 แบบ
       แบบ 1 แบบประเมินคุณธรรมตามพฤติกรรมบ่งชี้รายภาคเรียน  ใช้สำหรับบันทึกผลการประเมินผู้เรียนเป็นรายบุคคลในแต่ละภาคเรียน
       แบบ 2 แบบรายงานผลการประเมินคุณธรรม ใช้เป็นหลักฐานมอบให้ผู้เรียนเมื่อสำเร็จการศึกษา  เพื่อผู้เรียนนำไปใช้ประกอบการศึกษาหรือประโยชน์อื่น







การประเมินคุณภาพการศึกษานอกระบบระดับชาติ
       
สถานศึกษาจะต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนที่เรียนในภาคเรียนสุดท้ายของทุกระดับการศึกษา  ได้แก่ ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย เข้ารับการประเมินคุณภาพการศึกษานอกระบบระดับชาติ ในสาระการเรียนรู้ ตามที่สำนักงาน กศน. กำหนด  การประเมินคุณภาพการศึกษานอกระบบระดับชาติไม่มีผลต่อการได้หรือตกของผู้เรียน    แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำข้อมูลที่ได้จากการประเมินไปใช้ในการวางแผนปรับปรุงและพัฒนาผู้เรียน และการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนของสถานศึกษา  รวมทั้งเป็นข้อมูลในการส่งเสริมสถานศึกษาในด้านวิชาการและด้านอื่น ๆ ให้มีคุณภาพใกล้เคียงกัน

                  


 
         
 




 









 
ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี 
198/1 หมุ่ 1 ตำบลแก่งกระจาน  อำเภอแก่งกระจาน  จังหวัดเพชรบุรี โทรศัพท์ 032-459158 , 032-459182
โทรสาร  032-459158  , 032-459182
Powered by MAXSITE 1.10   Modify by   นิกร เกษโกมล   Version 2.01